ใคร ?? เป็นคนสร้างกำแพงเมืองจีน

จิ๋นซีฮ่องเต้ เป็นผู้สร้าง
และพระองค์ ยังเป็นผู้มีบัญชา ให้เกณฑ์ชาวบ้านมาสร้าง ในปีพ.ศ.300-329 มีความยาวถึง               1,684 ไมล์ ทอดตัวไปตามป่าเขา หุบเหว   และแม่นำคล้ายกับพญามังกรยักษ์ ตัวกําแพงสูงจากพื้นดิน 20-30 ฟุต หนา 15-20 ฟุต   บนกําแพงมีทางเดินกว้าง               10 ฟุต และทุกระยะ 300 ฟุต จะมีป้อมกับเชิงเทินอยู่ประมาณกว่า   15,000               แห่ง ใช้เวลาก่อสร้างไม่น้อยกว่า 10 ปี   และต่อมามีการสร้างต่อเติมอีกหลายครั้ง                 ใช้แรงงาน ที่เกณฑ์มาจากทั่วประเทศ นับจํานวนล้านคน และมีผู้เสียชีวิต เพราะการสร้างกำแพงนี้นับหมื่นคน จวบจนปัจจุบัน กำแพงนี้ก็ยังคงอยู่

2000 ปีที่ผ่านมานี้   ตำนานเรื่องเล่า เกี่ยวกับนางเมิ่งเจียงร้องให้ จนทำให้กำแพงเมืองจีนพังทลาย  ลงนั้นแพร่หลายในทั่วประเทศจีน จนกลายเป็นที่รู้กันในทั่วไป เล่าขานต่อ ๆ กันว่า ให้สมัยจิ๋นซีฮ่องเต้ มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง   ชายชื่อว่านสี่เหลียง หญิงชื่อ เมิ่งเจียง แต่งงานได้ 3 วัน   สามีถูกเกณฑ์ไปสร้างกำแพงเมืองจีน กาลล่วงผ่านไปเนิ่นนาน ก็หามีข่าวคราวจากสามีไม่ เมิ่งเจียงเฝ้าคอย จนในที่สุดก็ไม่อาจทนต่อไป   จึงเตรียมเสื้อกันหนาว เดินทางจากบ้านเกิด ตรงไปยังกำแพงเมืองจีน   เพื่อจะเอาเสื้อกันหนาวไปส่งให้สามี นางเมิ่งเจียงเดินทางฝ่าพายุหิมะลมแรง ช่างยากเย็นเข็ญใจนัก   แม้กระนั้นนางเมิ่งเจียง ก็หาได้ย่อท้อไม่ เพราะคิดอยู่ว่า ถ้าฝ่าทุกข์หนักอันนี้ไปได้ ก็คงจะได้เจอกันกับสามี แล้วนางเมิ่งเจียงก็มาถึง ณ กำแพงเมืองจีน นางเฝ้าเสาะหาสามีอยู่เป็นนาน ก็หาพบไม่ เธอจึงไปไต่ถาม ก็ได้ความว่า สามีถูกกำแพงที่พังลงมาทับตายเสียแล้ว ครั้นนางเมิ่งเจียงเมื่อทราบว่า สามีของนางนั้นตายแล้ว ก็มีความเศร้าโศก พลุ่งขึ้นเป็นอันมาก   จึงล้มตัวลงร้องไห้คร่ำครวญ เป็นที่น่าเวทนานัก ร้องให้คร่ำควรญถึง 7 วัน7 คืนไม่หยุดเลย   จนทำให้กำแพงที่สร้างเสร็จแล้ว พังทลายลงแถบหนึ่ง ทันใดนั้น ซากร่างของสามีเธอ ฟ่านสี่เหลียง ก็ปรากฏต่อสายตานางเมิ่งเจียง   พอเห็นศพสามี เป็นที่ประจักต่อสายตาดังนั้น นางเมิ่งเจียงก็กระโดดทะเลตาย   ชื่อของนางเมิ่งเจียง ก็ปรากฏสืบมา ให้ชนรุ่นหลังได้ซาบซึ้ง กับความรักอันมั่นคง ของนาง ที่มีต่อสามีไม่ลืมเลือน จนได้เป็นถึงหนึ่งในสี่ นิยายรักอมตะของจีน มาจนถึงเดี๋ยวนี

ความเร้นลับของ สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้
 ตอนที่ชาวนาคนหนึ่งขุดดินในเมืองซีอาน เมื่อปี ค.ศ. 1974 นั้น   คงไม่ได้คิดมาก่อนเลยว่าจะได้พบสิ่งที่ถูกเรียกขานกันว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์   อันดับ 8 ของโลก สิ่งที่หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์จีนนานกว่า 2,000 ปี   ?สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้? จักรพรรดิผู้เกริกไกรที่สุดของแดนมังกร
 จน ถึงปัจจุบันนี้ เป็นเวลา 34 ปีมาแล้ว ที่ ?ส่วนหนึ่ง?   ของสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ ผู้รวบรวมจีนเป็นแผ่นดินเดียวถูกเปิดเผยออกมาสู่ สายตาชาวโลก และแม้จะเป็นเพียงส่วนเดียว   แต่ก็สร้างความตื่นตาตื่นใจอย่างเหลือประมาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง   หุ่นทหารดินเผา 8,000 ตัว ที่แต่ละตัวมีหน้าตาไม่เหมือนกันเลย
แต่ ถึงกระนั้น ก็ยังไม่มีการค้นพบตัว สุสานที่แท้จริง   หรือพระศพของจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่นี้ ซึ่งจากข้อมูลเท่าที่มี   นักวิชาการก็สันนิษฐานกันว่า สถานที่เก็บพระศพก็น่าจะอยู่ไม่ไกลจากพื้นที่สุสานที่เปิดออกมาแล้วนั่นเอง
แต่ การสันนิษฐานนั้นจะจริงหรือไม่ ยังคงเป็นเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้   และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ จะได้พิสูจน์ เพราะทางการจีนยังไม่อนุญาตให้ขุดค้นเนินดินใหญ่ ที่คิดว่าเป็นสถานที่สำคัญที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์นี้ เนื่องจากเกรงว่า หากเปิดที่ฝังพระศพจอมจักรพรรดิออกมาแล้ว ความลับที่ยืนยาวมานานกว่า 2   สหัสวรรษ อาจจะเกิดความเสียหายได้   เพราะยังไม่มีเทคโนโลยีใดที่จะรับประกันว่า เมื่อโบราณวัตถุที่เก็บอยู่ในสุสานต้องออกมา พบกับอากาศในยุคปัจจุบันแล้วจะไม่เสื่อมสลายไป
แต่การไม่อนุญาตให้ขุดค้น ก็ไม่ได้ หมายความว่าจะไม่มีโอกาสได้รู้เลยว่า ภายในสุสานจิ๋นซีมีอะไรอยู่
เมื่อ ปีที่แล้วนี้เอง ที่มีการใช้เทคโนโลยีการสำรวจระยะไกล ?ส่อง?   เข้าไปในเนินดินขนาดใหญ่ใกล้กับบริเวณที่พบหุ่นทหารดินเผาอันเลื่องชื่อ แล้วก็ได้พบความน่าอัศจรรย์ใจยิ่งกว่าสิ่งที่ถูกค้นพบมาก่อนแล้วเสียอีก
นัก โบราณคดีจีนได้เห็นภาพว่า ลึกลงไปใต้พื้นดินราว 21 เมตร   มีสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่อยู่ ในนั้น เป็นอาคารสูงตั้ง 30 เมตร   รูปทรงคล้ายพีระมิดหัวตัด กว้าง 125 เมตร ยาว 145 เมตร ด้านข้างแต่ละด้านมีลักษณะคล้ายบันได และลึกลงไปจากตัวอาคารนี้   ถึงจะเป็นสุสานของจริง ที่มีขนาดกว้าง 50 เมตร ยาว 80 เมตร สูง 15 เมตร
ระหว่าง   อาคารใหญ่ ซึ่งถูกเรียกว่า ปราสาทของจักรพรรดิไปถึงตัวสุสาน   มีทางลาดเชื่อมถึงกัน และเมื่อตรวจสอบด้วยเทคโนโลยีสมัย ใหม่ ก็เห็น ?รางๆ?   ว่า บริเวณทางเดินนี้ เต็มไปด้วยรถม้า และม้าที่สร้างด้วยบรอนซ์ ขนาดใหญ่ประมาณครึ่งหนึ่งของขนาดจริง
เห็นอย่างนี้แล้ว นักโบราณคดีต่างร้องโหวกเหวก อยากจะขุดเข้าไปให้เห็นกับตาจริงๆ เสียทีว่าจะมีจริงอย่างที่   ?ตาอิเล็กทรอนิกส์? ส่องมองแทนหรือไม่ แต่งานนี้ก็ยังคงเป็นทางตัน   เพราะแม้นักวิชาการหลายต่อหลายคนจะร้องขอขนาดไหน ทางการจีนก็ยังส่ายหน้าปฏิเสธ ด้วยเหตุผลเดิมว่า   รอให้มีเทคโนโลยีที่ดีกว่านี้ในการอนุรักษ์ ทรัพย์สินของจักรพรรดิเสียก่อน   ซึ่งก็น่าเห็นใจรัฐบาลจีน เพราะที่ ผ่านๆมา การขุดค้นแหล่งโบราณสถานหลายแห่งก็มีตัวอย่างให้ได้เห็นๆกันมาหลายครั้งแล้ว   ว่า พอของมีค่าจากหน้าประวัติศาสตร์ที่ถูกผนึกไว้นาน   ได้ออกมาเจอะออกซิเจนจากภายนอก ก็มีอันเสียหาย และบางชิ้นถึงกับป่นเป็นผุยผง   อย่างนี้แล้วจะเสี่ยงกับสุสานจิ๋นซีที่เป็นสุสาน ซึ่งอาจจะสำคัญที่สุดในโลกนี้ได้อย่างไรเลยต้องร้องเพลงรอกันไปก่อน
นอกจากสุสานแล้ว พระศพของจอมจักรพรรดิเอง   ก็เป็นอีกหนึ่งในสิ่งที่นักโบราณคดีอยากเจอกันมาก เมื่อก่อนนี้เคยเชื่อกันว่า พระศพจริงๆอาจจะอยู่ที่อื่น   และสุสานที่เห็นอาจเป็นเพียงสิ่งลวง แต่ถึงวันนี้   จากการศึกษามากขึ้นก็ชักเชื่อกันใหม่ว่า ไม่ต้องไปไกลที่ไหนหรอก จุดที่พบพระราชวังใต้ดิน และสุสานใต้ดินนี่แหละ เป็นสถานที่เก็บพระศพของแท้

นัก วิชาการยังเชื่อกันว่า หากเปิดสุสานออกมาเมื่อไหร่   เป็นได้เจอพระศพแบบสมบูรณ์ ไม่เสียหายค่อนข้างแน่นอน   เพราะมีตำรับตำราหลายเล่มที่ระบุว่า จิ๋นซีฮ่องเต้ได้มีพระบัญชาให้รักษาพระศพของพระองค์ด้วยปรอท
นอก จากนั้น เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ หัวขโมยบังอาจเข้ามาในที่พำนักชั่วนิรันดร์ของพระองค์ ก็มีพระบัญชาให้สร้างกลไกในการป้องกันผู้มาเยือนโดยพลการเอาไว้จำนวนมาก   ด้วยสันนิษฐานกันว่า หากใครที่ไม่ได้ รับเชิญดัน ?เจ๋อ?   เข้ามาในสุสานของพระองค์ เห็นทีต้องโดนกลไกสารพัดอาวุธทำร้ายเอาแน่ๆ   และนี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ยังไม่ควรเปิด สุสาน หากยังไม่แน่ใจในความปลอดภัย
บางตำนานบอกว่า บริเวณที่ล้อมรอบพระศพของจิ๋นซีฮ่องเต้ นั้น เป็นลำธารปรอทเพื่อรักษาพระศพ ซึ่งอาจจะมีความเป็นพิษสำหรับผู้มาเยือนด้วย และจากการตรวจสอบด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ก็พบว่า   บริเวณที่คาดว่าเป็นสุสานนั้น มีความเข้มข้นของสารปรอทมากผิดปกติ   โดยเฉพาะตรงกลางของเนินดินที่มีปรอทมากกว่าบริเวณอื่นๆตั้ง 50 เท่า เลยยิ่งฟันธงกันไปใหญ่ว่า พระศพอยู่ตรงนี้แหงๆ
แต่บอกให้เสียใจอีกที ว่า ต้องร้องเพลงรอไปก่อน ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่นักโบราณคดีจะได้โอกาสเปิดตัวอาคารลึกลับนี้เข้าไปดูให้   เห็นเป็นบุญตาว่า จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของโลกบรรทมอยู่อย่างไรในห้องสุดท้ายของ พระองค์
ปริศนา ลึกลับของสุสานและพระศพขององค์จักรพรรดิจิ๋นซี สร้างความพิศวงสงสัยจนผู้คนทั่วโลกต้องจับตามอง   จนกระทั่งถูกหยิบยกเอาไปเป็นเค้าโครงของภาพยนตร์ ระดับฮอลลีวูด เรื่อง THE   MUMMY : TOMB OF THE DRAGON EMPEROR ซึ่งในภาคที่แล้วเป็นเรื่องของมัมมี่อียิปต์   แต่คราวนี้ทีมงานหันมาสร้างถึงมัมมี่จีนบ้าง โดยเป็นเรื่องของจักรพรรดิในยุค 50 ปีก่อนคริสตกาล   ซึ่งต้องคำสาปทำให้พระองค์และไพร่พล กลายเป็นกองทัพหุ่นกระเบื้องเคลือบไปตลอดกาล จนมีผู้มาพบสุสานลับ และปลุก พระองค์พร้อมทหารหาญให้ฟื้นคืนชีพ…

ใส่ความเห็น

ใส่ความเห็น